SAT นี่มีข้อดีด้วยหรอพี่ ?
# ผมเห็นมีแต่ข้อเสีย คือมัน “ยาก” !!!!!! #
SAT: วิธีที่เร็วที่สุด ที่จะทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตาโหล กังวล ถอนหายใจ พูดกับใครก็บ่นแต่เรื่อง SAT
SAT เป็นเหมือนสารก่อสิว ทั้งก่อนสอบ และหลังสอบ ก่อนรู้ผล ตอนรู้ผล และชีวิตที่เหลือจะถูกนับถอยหลังเป็นวัน หลังจากรู้ผลแล้ว
การสอบที่หินสุด ๆ ขนาดนี้ ถ้าเลี่ยงได้ แล้วได้สิทธิ์เข้าไปเรียนที่ ๆ เราใฝ่ฝัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนคงจะไม่เลือกสอบแน่นอน
## แต่การสอบSATแต่เนิ่น ๆ ก็มีข้อดีน้า ##
ความจริงไม่ได้อยากจะบอกว่า ไม่ต้องรอให้ “พร้อม” แล้วค่อยไปสอบ เพราะปีหนึ่ง ๆ มีโอกาสให้สอบแค่ 5 รอบเอง แถมดีไม่ดีจะชนกับที่วันสอบกลางภาค ปลายภาคที่โรงเรียนอีก… ข้อดีของการลงสอบ ทั้ง ๆ ที่ไม่พร้อมเต็มที่เนี่ยแหละมีประโยชน์มากมาย และบางแง่มุม ใครต่อใคร ก็อาจจะไม่ได้คิดมาก่อนด้วยซ้ำ
#1. การลงสอบแต่เนิ่น ๆ ทำให้เรารู้ “ฐาน” ของเราอยู่ที่ใด #
ก่อนจะไปสอบ ทุกคนคงผ่านข้อสอบชุดจริงที่ทาง College Board ออกมาให้ฝึกซ้อมกันหมดทุกคนแล้ว (ปัจจุบันมี 10 ชุด)
การรู้ว่าตัวเองยืนจุดใดในข้อสอบที่เป็นมาตรฐานสากลนี้ สำหรับบางคน คะแนนอาจจะทำให้รู้สึกท้อแท้มากกกกกก ขณะอีกหลาย ๆ คน รู้สึกลิงโลดใจ อยากจะป่าวประกาศทั่วไปทั้งประเทศไทยว่าข้าทำได้เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก
แต่มันก็เป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่ง ที่บอกว่าเทคนิคที่เราใช้ทบทวนเนื้อหา ก่อนไปสอบ มันเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค
.
แล้วรู้แล้วมันดียังไง?
ถ้าตอนแรกเราใช้วิธีพื้นบ้าน (คาดว่าคนที่กำลังอ่านบทความนี้ น่าจะเคยทำมาแล้ว)
เปิดดิคมันเข้าไป กด ๆ จิ้ม ๆ ก็ได้ความหมาย ติ๊กเลือกข้อที่เพิ่งอ่านจากจอเสร็จ เปิดเพลงโยกคอตามจังหวะกันไป แถมยังไม่เคยจะจับเวลา ทำไปห้าข้อ เดินไปกินขนม กินน้ำ ไถ IG ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รอพร้อมมาก ๆ ค่อยกลับมาทำต่อ
ตอนตรวจคำตอบ ในPast papers ผลคะแนนประเมินอาจจะดี เพราะสภาพแวดล้อม และ Mood มันดีย์ อารมณ์แจ่มใส อยู่ในสถานที่ ๆ ควบคุมได้
แต่…
พอไปถึงสถานที่สอบ ไม่คุ้นเคย อากาศไม่คุ้น คนเยอะ บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังงานบางอย่าง ที่พร้อมจะกระชากวิญญาณน้อง ๆ ทันที ที่เปิดข้อสอบ
ถ้าเป็นไปได้ พี่อยากแนะนำอย่างนี้ค่ะ
ไป Survey สถานที่สอบก่อนเลย จะได้เห็นว่าวันสอบจริงจะต้องเข้าไปนั่งทำข้อสอบในสถานที่แบบไหน เผื่อเวลาเดินทางได้ เผื่อเวลาเดินไปตึกสอบ และห้องน้ำได้ และอาจจะเผื่อเสื้อกันหนาวไป เผื่ออุณหภูมิในห้องสอบนั้นหนาวเย็น
เราลงสอบ ทั้ง ๆ ที่เราเรียน ม. 4 ม. 5 นี่แหละ ถ้าผลสอบออกมาดี คือ 1200+ หรือ 1400+ เราก็จะโล่งใจไปเฮือกใหญ่ ๆ หนึ่งเฮือกตั้งแต่ ม.4 ม.5 และไปทำภารกิจพิชิตคะแนนตัวอื่นต่อได้
ถ้าคะแนนไม่ดี เราก็จะได้รู้ว่าที่ไม่ดีนี่เพราะอะไร จะได้รู้ว่าเทคนิคอะไรที่ทำแล้วไม่ได้ผล ก็ปรับเปลี่ยนได้ทันเวลา เพราะยังเหลือเวลาอีกเป็นปี ยกตัวอย่างเช่น ใช้วิธีที่ทำแล้วเวิร์คตอบสอบปลายภาคที่โรงเรียน แต่มันไม่เวิร์คตอนสอบ SAT เราก็ต้องทบทวนว่าจุดไหน ที่ต้องปรับต้องแก้
ทำงานเป็น Team กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง น้องอาจจะขอคำปรึกษาวิธีปรับฐานคะแนนของเรา ที่ผลสอบออกมาได้ไม่ถึงตามเป้า พ่อแม่ผู้ปกครองท่านมีแนวทางใด ที่จะช่วยเอื้ออำนวยให้การเตรียมตัวสอบของเราได้คะแนน SAT เราสูงขึ้น การหันหน้าเข้าหาพวกท่านทั้งสอง ดีที่สุด
ถ้าเราได้คะแนนไม่ดีเท่าที่คาดหวังไว้ การทบทวนข้อที่ผิดพลาด จะทำให้เรารู้ว่าจะต้อง Focus กับจุดไหนเพิ่มขึ้น (ดูจาก SAS หรือ QAS ตอนประกาศผลคะแนน)
พอรู้แล้ว ครั้งต่อมาที่ฝึกทำแบบฝึกหัด Past Papers เราจะได้เปรียบเทียบได้ว่า จุดอ่อนของเรา ได้ถูกพัฒนา ปรับปรุงให้เข้าใจขึ้นแล้วหรือยัง และมากน้อยแค่ไหน
ทำตารางเปรียบเทียบกับคะแนนที่เคยประเมินไว้ อย่างน้อย 5-7 ครั้ง ก่อนไปสอบจริงอีกรอบ
1. ตอนก่อนสอบ SAT ครั้งแรก ลงวันที่ด้วยน้า
2. ผลสอบที่ได้จริง
3. หลังจากทบทวน ฝึกทำ แบบฝึกหัดหัวข้อที่ไม่เข้าใจสักที ทำยังไงก็ผิดตลอด ลองดูเปอร์เซ็นต์จำนวนข้อว่าถูกเยอะขึ้นไหม
ถ้าถูกเยอะขึ้น เราก็จะสบายใจ และภูมิใจที่เอาชนะความท้าทายนี้ไปได้อีกหนึ่งเรื่อง
4. ทดลองทำ Past paper อีกรอบ แล้วเปรียบเทียบว่าคะแนนดีขึ้นหรือไม่
# แผนการทบทวน และ ศึกษา SAT Verbal และ Math ควรจะเป็นแผนที่วัดผลได้จริง แบบจับเวลาให้เร็วที่สุดด้วย #
ถ้าคะแนนยังไม่ขึ้น หรือยังไม่เข้าใจ หลังจากทำทุกอย่างที่ว่ามานี้แล้ว ก็อาจจะปรึกษาพ่อแม่ ผู้ปกครองว่าจะปรับแผนการทบทวนยังไง
บางทีอาจจะต้องหาตัวช่วยพิเศษ
ติดตามต่อตอนต่อไป