SAT คือ ข้อสอบมาตรฐานเพื่อใช้วัดทักษะด้านคำนวณในวิชาคณิตศาสตร์ และการใช้ภาษาอังกฤษ โดยเป็นมาตรฐานในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา และในประเทศไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรนานาชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ
วิชา SAT จะถูกจัดปีละห้าครั้ง ประกอบด้วยเดือน มีนาคม พฤษภาคม มิถุนายน ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม โดยบางเดือนมีการเปิดสอบ SAT Subject Test โดยสามารถตรวจสอบรอบที่เปิดวิชา SAT Subject Test ได้ทาง www.collegeboard.org
รายละเอียดข้อสอบ SAT
- ภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ Reading กับ Writing มีช่วงคะแนนตั้งแต่ 200-800 มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า SAT Evidence-Based Reading and Writing
(EBRW)
โดยประกอบด้วยเนื้อหาสองส่วนดังนี้
- Reading มีคำถาม 42 ข้อ ใช้เวลาทั้งหมด 65นาที
- Writing มีคำถาม 44 ข้อ ใช้เวลาทั้งหมด 35 นาที
- คณิตศาสตร์ แบ่งออกเป็น ส่วนที่ไม่ใช้เครื่องคิดเลข และใช้เครื่องคิดเลข
มีช่วงคะแนนตั้งแต่ 200-800
- ส่วนที่ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลข (No Calculator) มีคำถามประมาณ 20 ข้อ ใช้เวลาทั้งหมด 25 นาที
- ส่วนที่สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ (Calculator) มีคำถามประมาณ 38 ข้อ ใช้เวลาทั้งหมด 55 นาที
- Essay (ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ไม่ใช้คะแนนการเขียนนี้)
คะแนนที่จะใช้ยื่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาตินั้น ส่วนใหญ่จะคิดจากคะแนนรวม และแยกส่วนคะแนน ตามแต่คณะกำหนด ดังนั้นการทำคะแนนให้ได้สูงสุดในแต่ละพาร์ทจึงสำคัญมาก
SAT Evidence-Based Reading and Writing (EBRW)
ข้อสอบส่วนภาษาอังกฤษนี้ ครอบคลุมเนื้อหาด้านการอ่าน และความสามารถในการเขียน
การอ่านเพื่อจับใจความ การหาหลักฐานสนับสนุนคำตอบ การอ่านเพื่อการวิเคราะห์สาร และการทดสอบความหมายของคำศัพท์จากบริบทแวดล้อม และการอ่านเปรียบเทียบระหว่าง 2 บทความ เพื่อหาความเหมือน ความแตกต่าง และน้ำเสียงของผู้เขียนทั้งสองบทความ นอกจากนี้ ยังมีการอ่านแผนภูมิประเภทต่างๆประกอบด้วย ซึ่งในการสอบSAT แบบใหม่นี้ ไม่ได้อาศัยการท่องจำก็จริง แต่หากปราศจากความเข้าใจเบื้องต้นแล้ว นักเรียนย่อมไม่สามารถทำข้อสอบได้เลย ดังนั้น การเรียนจึงเป็นไปด้วยการเน้นพื้นฐานให้แน่น ทั้งด้านแนวคิด คำศัพท์ การตีความโจทย์ และการฝึกฝนอย่างตรงจุด ซึ่งจะทำให้นักเรียนได้คะแนนสูงตามที่ต้องการได้
นอกจากตัวข้อสอบจะประกอบไปด้วย การอ่านแล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งคือ การเขียน ซึ่งเป็นการวัดทักษะการใช้ภาษาทั้งทางโครงสร้างทางไวยากรณ์ การใช้เครื่องหมายวรรคตอน การตีความ และการอ่านแผนภูมิ ตาราง ชาร์ทประเภทต่างๆประกอบ คล้ายคลึงกับข้อสอบส่วนแรก และยังมีการเลือกถ้อยคำและประโยค เพื่อสนับสนุนใจความหลัก ของแต่ละย่อหน้าที่กำหนดมาในคำถาม นอกจากนี้ข้อสอบยังวัดความสามารถในการตัดสินว่าถ้อยคำ หรือประโยคที่โจทย์กำหนด เขียนได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาและสละสลวยหรือไม่ และเพราะอะไร
SAT Mathematics
ข้อสอบคณิตศาสตร์ใน SAT จะประกอบไปด้วยเนื้อหาในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั้งหมด มีความยากและง่ายปนกันไป ส่วนใหญ่เนื้อหาจะครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่อง Algebra, Word Problems, Graphs, Function, Data Analysis, Geometry (อ้างอิงปี 2018) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Linear Equation, polynomial และเนื้อหาอื่นๆอีกด้วย
ในตัวข้อสอบคณิตศาสตร์จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลข (No Calculator) มีทั้งหมดประมาณ 20 ข้อ ใช้เวลาในการทำประมาณ 25 นาที และส่วนที่สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ (Calculator) มีทั้งหมดประมาณ 38 ข้อ ใช้เวลาประมาณ 55 นาที สำหรับข้อสอบในสองส่วนนี้จะมีความยากไม่ต่างกันมาก
การคิดคะแนนของ SAT Math จะมีช่วงคะแนนอยู่ที่ 200-800 คะแนน โดยแปลงจากคะแนนดิบ 0-58 คะแนน หากทำผิด 1 ข้อจะถูกหักไป 10-20 คะแนนขึ้นกับการแปลงคะแนนอิงเกณฑ์และอิงกลุ่มในรอบนั้นๆ ดังนั้นหากทำผิด 1-2 ข้อในรอบที่ข้อสอบมีความยากมากกว่าปกติก็ยังมีโอกาสได้คะแนน SAT Math เต็ม 800 คะแนนได้
คอร์สเรียนวิชา SAT แบ่งออกเป็น 4 ระดับดังนี้
- Beginner หรือรายวิชาปรับพื้นฐาน การคำนวณคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
- Intermediate ประกอบด้วยเนื้อการวิชาคณิตศาสตร์ และEBRW ภาษาอังกฤษส่วน Reading และWriting
- Advanced เป็นเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เคยสอบมาแล้ว หรือมีพื้นฐานทางเลข และภาษาอย่างดี ขึ้นไป
- Exam Turbo ตะลุยโจทย์แบบเข้มข้น